ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของ นายกิตติทัต น่ะ คับ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร






1. กำเนิดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

     มนุษย์เป็นสัตว์สังคมตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นหมู่เหล่า หน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัวขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนในที่สุดเป็นประเทศ มนุษย์แต่ละหมู่เหล่ามีการติดต่อสื่อสารพบปะกัน เพื่อแลกเปลี่ยนอาหาร สสิ่งของเครื่องใช้ ยารักษาโรคที่ชุมชนไม่สามารถผลิตได้หรือผลิตได้ไม่้เพียงพอ จนเกิดเป็นการค้าการติดต่อในยุคแรกๆเป็นการบอกกันปากต่อปากต่อปาก ต่มามีการสื่อสารด้วยตัวอักษรที่จารึกบนวัสดุ กลายมาเป็นการส่งจดหมายถึงกัน จากนั้นมีการสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีโทรนาคม อาศัยหลักวิชาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนคำพูด ข้อความหรือภาพเป็นสัญญาณไฟฟ้าไปตามสาย เรียกว่า คลื่นวิทยุกระจายไปในอากาศเมื่อถึงปลายทาง สัญญาณหรือคลื่นที่ส่งไปจะถูกคืนภาพกลับเป็นคำพูดข้อความหรือภาพเหมือนกับสิ่งที่ส่งออกไปจากต้นทาง พัฒนาการเทคโนโลยีนี้ทำให้คนที่อยู่ละซีกโลกรับรู้ข่าวสารได้ภายในชั่วพริบตา เช่น เหตุร้ายจากการก่อวินาศกรรมโดยใช้เครื่องบินที่ถูกจี้บังคับมาชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 คนทั้งโลกได้ดูภาพสดๆ
      เทคโนสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีใหม่มีขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการรวมเทคโนโลยี 2 ประเภทเข้าด้วยกัน คือ เทคโนโลยีโทรนาคม กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คำว่า สารสนเทศ หมายถึง ตัวเนื้อหาสาระของข้อมูลข่าวสาร โดยใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของสารสนเทศ เป็นการนำเอาความสามารถของคอมพิวเตอร์มารวมกับความสามารถของระบบโทรนาคม ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดการเกี่ยวกับสารสนเทศ




           ภาพที่ 1.1 เหตุการณ์เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ นครนิวยอร์ค ที่เครือข่ายข่าวโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นแพร่ภาพถ่ายสดไปทั่วโลก


 ปัจจุบันนี้ มีการใช้คำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า  Information and Communication Technology : ICT


2. ประวัติโดยย่อของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
    เทคโนโลยีสารสนเทศเกิดจากการรวมตัวของเทคโนโลยี 2 ด้าน คือ เทคโนโลยีโทรคมนาคมและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แต่ละด้านมีประวัติหรือพัฒนาการ ดังนี้

เทคโนโลยีโทรคมนาคม
       เริ่มจากการประดิษฐ์โทรเลขของแซมมวล มอร์ส (Samual Mors) ในปี พ.ศ. 2380 เป็นครั้งแรกที่ข่าวสารถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งตามสาย ในปี พ.ศ. 2401 ได้มีการวางสายเคเบิลใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เกิดสื่อสารข้ามทวีประหว่างทวีปอเมริกากับทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก





   ภาพที่ 1.2   แป้นเคาะโทรเลขแบบมอร์ส-เวล



                                       
    ภาพที่ 1.3 เครื่องพิมพ์โทรเลขเอดิสันสต็อกพรินเตอร์
ในปี พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์และได้ตั้งชุมสายโทรศัพท์แห่งแรก
           ด้านการสื่อสารไร้สายได้พัฒนาค้นพบคลื่นวิทยุในปี พ.ศ. 2430 โดย ไฮน์ริช แฮตน์ (เฮิร์ต)
(Heinrich Heert) และต่อมาปี พ.ศ. 2437 กูกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) ประดิษฐ์เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องแรก
            ในปี พ.ศ 2477-2479 จอห์น เฟลมมิง (John Flamming) และ ลี เดอ ฟอเรสต์ (Lee De Forest) ประดิษฐ์หลอดสูญญากาศ
            ในปี พ.ศ. 2497 วลาดิเมียร์ สวอริคิน (Vladimir Zworykin) ประดิษฐ์หลอดภาพโทรทัศน์
            ในปี พ.ศ. 2490 ชอกลีย์ บาร์ดีน และ แบรตเทน (Schockly , Barden and Brattain) ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์
             ในปี พ.ศ. 2500 คิลบี และ นอยส์ (Jack Kilby , Robert Noyce) ประดิษฐ์วงจรรวมหรือไอซี
             ในปี พ.ศ. 2504 บริษัทเอทีแอนด์ที ได้สร้างดาวเทียมสื่อสาร เทลสตาร์ 1 เป็นดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก

         ภาพที่ 1.4 เทลสตาร์ 1 ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก


ภาพที่ 1.5 วงจรรวมหรือไอซี


เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
       คอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในหการคำนวณ เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ในประเทศจีนประมาณ 2,000-3,000 ปี
       จนกระทั่งในปี พ.ศ.2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์จ แบบเบจ (Charles Babbage) ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าตรีโกณมิติฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์


     
        หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง   โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค

ยุคที่หนึ่ง (First Generation Computer) พ.ศ. 2489-2501
เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น   และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี 
จึงนับได้ว่า
UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสูญญากาศ

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง
ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น
เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน

ยุคที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506
มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
 เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core)
 มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS)
 สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
 เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้


ยุคที่สาม (Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า ไอซี” (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก 
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า)
ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป

ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532
เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
มีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)

ยุคที่ห้า (Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล

ลักษณะของระบบปัญญาประดิษฐ์

องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่



1. ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System)
คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น

2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น

3. การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น

4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น

3. ความหมายของและความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

       ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
คำว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบคำ 2 คำ ได้แก่ เทคโนโลยี และ สารสนเทศ มีความหมายดังนี้
       เทคโนโลยี (Technology) มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า TEXERE ตรงกับภาษาอังกฤษว่า to weave แปลว่า สาน เรียบเรียง ถักทอ ปะติดปะต่อ และ contruct แปลว่า สร้างผูกเรื่อง ส่วนเทคโนโลยี ในรากศัพท์ภาษากรีกมาจากคำว่า technologia แปลว่า การทำงานอย่างเป็นระบบ

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
 สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้

1.  เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ 

2. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์ 

3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว

4. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง

5. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา

6. เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น 

ทัศนะเกี่ยวกับเทคโนโลยี
    
     จากความหมายของเทคโนโลยีทำให้นักการศึกษามีทัศนะหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีแตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 2 ทัศนะคือ
      
1. ทัศนะด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ (science technology) เน้นการพัฒนาวัสดุให้เจริญก้าวหน้าด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานสาขาต่างๆ

2. ทัศนะด้านพฤติกรรมศาสตร์ (behavioral technology) เป็นเทคโนโลยีที่เน้นกระบวนการคิด และการทำงานอย่างเป็นระบบโดยผสมผสานความรู้จากศาสตร์หลายๆด้าน


สารสนเทศ (Information) 

    ปัจจุบันสารสานเทศได้เข้ามามีบทบาทกับวงการต่างๆ ในสังคมกว้างขวางนิยมใช้ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี
    คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (2543) ให้นิยามสารสนเทศว่า หมายถึง ข้อมูล  และข่าวสาร และความรู้ จะปรากฏในรูปแบบของตัวอักษร ตัวเลข เสียงและภาพ
    สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ได้รับการตีความ จำแนกแจกแจง จัดหมวดหมู่ หรือประมวลผลจนมีสาระในตัวของมันเอง

เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) 

      เมื่อเนื้อหาข้อมูลมีปริมาณเพิ่อขึ้นอย่างมากมายจึงนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในกการจำแนก จัดหมวดหมู่
      คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (2543) ให้ความหมายว่า ความรู้ในผลิตภัณฑ์หรือในกระบวนการนำดำเนินงานโดยอาศัยซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ การติดต่อสื่อสาร การรวบรวมและนำเสนอข้อมูล
      ทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้จัดการ สารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวม การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูลด้วย

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

     ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเป็นที่สนใจของคนทุกมุมโลกทุกสาขาสามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานและชีวิตประจำวัน
ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก เช่น
      
1. ด้านวิชาการ  ช่วยในการค้นคว้าศึกษาแหล่งข้อมูล ทำให้ศึกษาได้ง่ายขึ้นและไรขีดจำกัด
2. การดำรงชีวิตประจำวัน ช่วยให้มีความสะดวกคล่องตัวและรวดเร็วในการทำกิจกรรมต่างๆ
3. การดำเนินธุรกิจ  ทำให้มีการแข่งขันระหว่างธุรกิจมากขึ้น ต้องมีการพัฒนาองค์กรเพื่อให้ทันกับข้อมูลตลอดเวลา
4. ด้านการติดต่อสื่อสาร  ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ และปรากฏการณ์โลกไร้ซึ้งพรมแดนทำให้ผู้คนในสังคมมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน
5. ด้านผลผลิต ระบบการทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจะช่วยให้ทำงานได้มากขึ้น

ลักษณะสารสนเทศที่ดี

สารสนเทศที่ดีและมีประโยชน์ในการใช้งานควรลักษณะดังนี้

ด้านเนื้อหา (Content)

    - ความสมบูรณ์ครอบคลุม (completeness)
    - ความสัมพันธ์กับเรื่อง (relevance)
    - ความถูกต้อง (accuracy)
    - ความเชื่อถือได้ (reliability)
    - การตรวจสอบได้ (verifiability)

ด้านรูปแบบ (Format)

    - ชัดเจน (clarity)
    - ระดับรายละเอียด (level of detail)
    - รูปแบบการนำเสนอ (presentation)
    - สือการนำเสนอ (media)
    - ความยืดหยุ่น (flexibility)

ด้านประสิทธิภาพ (efficiency)

    - ประหยัด (economy)
    - เวลา (Time)
    - ความรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ (timely)
    - การปรับปรุงให้ทันสมัย (up-to-date)
    - มีระยะเวลา (time period)

ด้านกระบวนการ (Process)

    - ความสามารถในการเข้าถึง (accessibility)
    - การมีส่วนร่วม (participation)
    - การเชื่อมโยง (connectivity)

4. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

     
     คนเราทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ไม่สามารถจะอยู่ได้โดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก การรับรู้ข่าวสาร เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุหรือดู  โทรทัศน์ ก็เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแบบหนึ่ง การใช้โทรศัพท์ โทรสาร ก็เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนั้น การถอนเงินจากเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ (ตู้ เอ ที เอ็ม) ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน ไม่แต่เฉพาะคนในเมืองเท่านั้น แม้แต่คนในชนบทก็มี ส่วนต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันด้วย เช่น เมื่อไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอ ทางอำเภอจะเรียกดูข้อมูลจาก ฐานข้อมูล กลางของสำนักทะเบียน กระทรวงมหาดไทย ซึ่ง ต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียกใช้งานได้ทันที เช่นนี้ เรียกว่า ระบบออนไลน์ (หรือสายตรง) ระบบเช่นนี้มีประโยชน์มาก เพราะจำทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และตรงกัน และที่เราจะพบได้อีกที่คือระบบเวชระเบียน การค้นหาประวัติผู้ป่วย ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้ที่เครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เมื่อมีการเรียกใช้งานก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องที่เรียกใช้งานเป็นต้น

5. กระแสโลกาภิวัฒน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

กระแสโลกาภิวัตน์  ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ในปัจจุบันช่วยให้ความเป็นอยู่ ในชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับยุคก่อน การเดินทางและติดต่อสื่อสารระหว่างกันสามารถทำได้ง่ายขึ้น มีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน  ในทุกสาขาอาชีพ เช่น  การสื่อสาร  การธนาคาร  การบิน  วิศวกรรม  สถาปัตยกรรม  การแพทย์  การศึกษา  หรือการเรียนการสอน  ซึ่งส่งผลให้วิทยาการต่างๆ  เจริญก้าวหน้าและทันสมัยอย่างรวดเร็ว  การติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ  ของโลกได้ทันเหตุการณ์   สามารถรับรู้ข่าวสารข้อมูลในเวลาเดียวกันได้ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันคนละสถานที่  เช่น การถ่ายทอดสด  การเสนอข่าวเหตุการณ์สำคัญ  รายการแข่งขันกีฬา การถ่ายทอดสัญญาณผ่านระบบดาวเทียมจากประเทศต่างๆ  การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์รายงาน สร้างภาพกราฟิก  เก็บข้อมูล   สืบค้นข้อมูล   ฟังเพลง   รวมถึงการประยุกต์ใช้  ในการเรียนการสอน  จึงนับได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ ต่อการดำรงชีวิต การศึกษา และการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในทุกๆ ด้าน ช่วยส่งเสริมทักษะ  และสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลิน  ไปพร้อมๆ กัน